ถ้าให้พูดถึง “นักวิทยาศาสตร์” ที่แม้แต่คนไม่ชอบวิทย์ยังต้องรู้จัก หนึ่งในชื่อแรกๆ ที่โผล่เข้ามาในหัวใครหลายคน ก็คงหนีไม่พ้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) คนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากภาพชายแก่ผมหงอกฟูๆ แลบลิ้นใส่กล้องอย่างเป็นกันเอง และใช่! เขาคือคนที่ทำให้คำว่า “สัมพัทธภาพ” กลายเป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กมัธยมก็ต้องเจอในห้องเรียน
แต่เบื้องหลังความดังของไอน์สไตน์ไม่ได้มีแค่ทฤษฎีฟิสิกส์ซับซ้อนเท่านั้น เขาคือ “อัจฉริยะ” ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่ใช่แค่เก่งวิทย์ แต่ยังกล้าคิดนอกกรอบ กล้าท้าทายความเชื่อเก่าๆ จนเปลี่ยนแนวคิดของคนทั้งโลกได้เลยล่ะ!
จุดเริ่มต้นของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ตอนเด็กๆ เขาไม่ใช่เด็กอัจฉริยะที่ใครๆ กรี๊ดกร๊าดด้วยซ้ำ บางคนบอกว่าเขาพูดช้ากว่าเด็กทั่วไป แถมยังไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ แต่รู้มั้ยว่าเขาดันสนใจ “คณิตศาสตร์” กับ “ฟิสิกส์” แบบเอาจริงเอาจังตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนมหาลัยด้วยซ้ำ
เขามักจะถามคำถามแบบที่คนอื่นไม่ถาม เช่น ทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปทางเหนือ? ทำไมแสงถึงเดินทางได้เร็วเท่าเดิมเสมอ? คำถามพวกนี้แหละที่พาเขาไปสู่เส้นทางแห่ง “ความเปลี่ยนแปลงของโลกวิทยาศาสตร์”
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ เปลี่ยนโลกทั้งใบ
ในปี 1905 หรือที่ถูกเรียกกันว่า “ปีมหัศจรรย์” (Annus Mirabilis) ของไอน์สไตน์ เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยถึง 4 ชิ้น ที่ทำให้โลกต้องหันกลับมามองใหม่ว่าฟิสิกส์แบบเดิมๆ ที่ใช้กันมาตลอดมันยังเวิร์กอยู่รึเปล่า?
หนึ่งในงานชิ้นสำคัญก็คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (Special Theory of Relativity) ซึ่งพูดถึงเรื่องว่า “เวลามันไม่ได้เท่ากันเสมอไป” และความเร็วของแสงจะคงที่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในกรอบอ้างอิงแบบไหนก็ตาม — ฟังดูงงใช่มั้ย แต่ลองนึกแบบนี้: ถ้าคุณนั่งอยู่บนยานอวกาศที่วิ่งเร็วมากๆ เวลาในยานจะเดินช้ากว่าเวลาบนโลก! ใช่แล้ว...นั่นแหละที่ทำให้มีไอเดียหนังไซไฟมากมาย เช่น คนออกไปอวกาศกลับมาบ้าน ลูกหลานแก่หมดแล้ว
E=mc² สมการเปลี่ยนโลก
อีกสมการเด็ดที่ทุกคนต้องเคยเห็นก็คือ E=mc² หรือพลังงานเท่ากับมวลคูณด้วยความเร็วแสงยกกำลังสอง
อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี สมการนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันแปลว่า “มวล (mass) สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน (energy) ได้” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์เราสามารถสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ในภายหลัง (แม้ไอน์สไตน์เองจะรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากๆ เพราะเขาไม่อยากให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือสงคราม)
จากนักคิดสู่สัญลักษณ์ของอิสระทางความคิด
สิ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์ต่างจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ คือเขา “คิดนอกกรอบ” และกล้าที่จะตั้งคำถามกับทุกอย่าง แม้แต่กับไอแซก นิวตัน ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นเจ้าพ่อฟิสิกส์ เขายังกล้าท้าทายแนวคิดเดิมๆ เลยนะ
แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้เก่งแค่ในห้องแล็บหรือกระดาษ เขาเป็นนักพูด นักเขียน และนักเคลื่อนไหวด้วย เขาออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการแบ่งแยกเชื้อชาติ และสนับสนุนสันติภาพแบบจริงจัง
คนดังที่ไม่ตามกระแส
สิ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์เป็น “คนจริง” ในสายตาหลายๆ คน ไม่ใช่แค่ความเก่ง แต่คือความเป็นตัวของตัวเองสุดๆ
- เขาไม่ชอบใส่ถุงเท้า (บอกว่ามันชอบหลุด)
- เขาเล่นไวโอลินเก่งมาก และใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือช่วยให้สมองคิดอะไรซับซ้อนได้
- เขาไม่ยึดติดกับความหรูหรา หรือความเป็นดารา แม้จะดังระดับโลก
เขาเคยบอกว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และนั่นแหละคือหัวใจของการเรียนรู้แบบไอน์สไตน์ที่เราน่าจะเอาไปใช้กันได้ในชีวิตประจำวัน
ไอน์สไตน์กับเรื่องเหนือธรรมชาติ
ถึงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่เคยปิดกั้นเรื่องที่คนอื่นมองว่าแปลก เช่น สัญชาตญาณ ความฝัน หรือความรู้สึก เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการค้นพบ และบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ก็อาจจะมีอยู่จริง เพียงแค่เรายังไม่มีคำอธิบายเท่านั้นเอง
มีอยู่คำพูดหนึ่งของเขาที่โดนใจคนสายมูไม่น้อยเลย:
“มีเพียงสองวิธีในการใช้ชีวิต – หนึ่งคือมองว่าไม่มีอะไรคือปาฏิหาริย์ และอีกวิธีคือมองว่าทุกอย่างคือปาฏิหาริย์”
มรดกทางความคิดที่ไม่มีวันตาย
แม้ไอน์สไตน์จะจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี 1955 แต่ผลงานของเขายังส่งอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น:
- ระบบ GPS ที่เราใช้ในมือถือ ต้องมีการคำนวณเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ
- แนวคิดในควอนตัมฟิสิกส์ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบมันนักก็ตาม
- การสำรวจอวกาศ และความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล
เขาคือ “นักคิด” ที่ไม่ได้แค่ท่องจำทฤษฎี แต่กล้า ตั้งคำถามกับทุกสิ่ง และเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้เดินตาม ซึ่งถ้าลองมองย้อนกลับมา เราจะเห็นเลยว่าโลกทุกวันนี้หมุนเร็วขึ้นทุกวินาที ไม่ต่างจากจังหวะของเกมไวๆ อย่าง หวยไว ที่ใครๆ ก็ลุ้นกันแบบทันใจ แต่ถ้าไม่มีคนกล้าคิดนอกกรอบแบบไอน์สไตน์ตั้งแต่แรก โลกคงยังหมุนช้าอยู่แน่นอน!
นิสัยของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นิสัยของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นั้นน่าสนใจมาก เพราะเขาไม่ได้เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์สุดอัจฉริยะ แต่ยังมีบุคลิกเฉพาะตัวที่ทั้งแหวกแนว เป็นกันเอง และบางมุมก็ตลกแบบไม่ตั้งใจเลยทีเดียว มาดูนิสัยของเขาที่หลายคนพูดถึงกันดีกว่า:
1. รักอิสระ ไม่ชอบกฎเกณฑ์
- ไอน์สไตน์ไม่ชอบการเรียนการสอนแบบเข้มงวด หรือระบบการศึกษาแบบเดิมๆ เขาเคยพูดว่า: “การศึกษาแบบที่เน้นการท่องจำฆ่าความคิดสร้างสรรค์”
- เขามักแต่งตัวเรียบง่าย ไม่สนแฟชั่น ไม่ใส่ถุงเท้า เพราะ “มันชอบหลุด”
2. มีจินตนาการสูงมาก
- เขาเชื่อว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (imagination is more important than knowledge)
- เขาชอบคิดภาพในหัวและใช้ “ความรู้สึก” ผสมกับ “สมการ” เพื่อจินตนาการถึงกฎธรรมชาติ
- ตัวอย่างเช่น การคิดถึงตัวเองนั่งบนลำแสง เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีสัมพัทธภาพ!
3. ขี้เล่นและมีอารมณ์ขัน
- ภาพแลบลิ้นที่โด่งดังของเขาคือหลักฐานชัดเจนว่าเขาขี้เล่นมาก
- เขาชอบแกล้งคนใกล้ตัวแบบเบาๆ พูดมุกตลก หรือแซวตัวเองเสมอ เช่น เขาบอกว่า: “ผู้หญิงและจักรยานคาดเดาไม่ได้ทั้งคู่”
4. รักสันโดษ แต่ไม่ต่อต้านสังคม
- ไอน์สไตน์เป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว เพราะทำให้เขามีเวลาคิดและทำงานวิจัยได้เต็มที่
- แต่เขาก็พูดเก่งนะ เวลาอยู่กับคนสนิทหรือพูดเรื่องที่ตัวเองอิน เขาจะพูดแบบหยุดไม่อยู่เลย
- เขายังใส่ใจสังคม พูดถึงสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และออกมาต่อต้านสงคราม
5. มีวินัยในการเรียนรู้
- แม้จะดูติสต์ๆ ชิวๆ แต่จริงๆ เขา “ขยันคิด ขยันอ่าน” และมีวินัยในการทำงานสูงมาก
- เขาอ่านหนังสือหลากหลาย ตั้งแต่ฟิสิกส์ ปรัชญา ดนตรี ไปจนถึงศิลปะ
- เขาเคยบอกว่า ถ้าไม่ได้เป็นนักวิทย์ เขาคงเป็นนักดนตรี เพราะเขารักการเล่นไวโอลินมาก
6.ถ่อมตัวและไม่สนชื่อเสียง
- ถึงจะดังระดับโลก แต่ไอน์สไตน์กลับใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เคยหลงตัวเอง
- เขาไม่ชอบออกงานหรูหรา และเคยปฏิเสธตำแหน่ง “ประธานาธิบดีของอิสราเอล” ด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีความสามารถในการบริหาร”
7. เปิดใจกับสิ่งที่ไม่เข้าใจ
- เขาไม่ได้ปิดกั้นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ เช่น ความฝัน สัญชาตญาณ หรือแม้กระทั่ง “ปาฏิหาริย์”
- เขาเคยบอกว่า: “สิ่งที่เรามองว่าเป็นปาฏิหาริย์ จริงๆ อาจแค่รอการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ได้”
สรุป
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์ แต่คือแรงบันดาลใจที่สอนให้เรากล้าคิด กล้าถาม และกล้าฝัน เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขา “จริงใจ” กับความคิดของตัวเอง เขาเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพในแบบของตัวเอง ขอแค่เราไม่หยุดถาม ไม่หยุดสงสัย และไม่หยุดจินตนาการ
เพราะบางที...ความอัจฉริยะก็เริ่มต้นจาก “คำถามแปลกๆ” ที่ไม่มีใครกล้าถามนั่นแหละ